วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

ชีวิตมหาวิทยาลัย




เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ...ฝันถึงอาจารย์ท่านหนึ่ง ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลั

เมื่อวาน เรานั่งรถแท็กซี่ไปศิริราช ผ่านตึกคณะเทคนิคการแพทย์ นั่งรถตู้เจอน้องคณะรังสีเทคนิ ค
วันนี้เราไม่ได้เจอเพื่อนกลุ่ม เรียนมานานแล้ว...
สมัยเรียน
เรามีเพื่อนคู่หู คนหนึ่ง เป็นเพื่อนยามเรากิน ไปเที่ยว รับน้อง ไปค่ายครั้งแรก เช่าบ้าน อยู่หอ แกล้งเพื่อน แซวอาจารย์ เที่ยวกลางคืน ทำ term paper จนกระทั่งเรียนจบกว่าช้าคนอื่น เราสองคนมีฉายาว่า "ลิงกัง"
เราทะเลาะกันบ้าง เป็นครั้งคราว ไม่มองหน้ากัน อิจฉากัน หมั่นไส้กัน แต่เราให้อภัยกัน เข้าใจกัน "พี่แกก็เหมือนพ่อกู" จนกระทั่งแกมีแฟน เราก็ว่าแกทิ้งเรา ไม่เป็นไร เรางี่เง่าเอง ความรักแทนกันไม่ได้สี่ปีผ่านไป เราก็รักเพื่อนคนนี้ ห้า หก เจ็ดปีผ่านไป เราก็ยังอยากมีแกเป็นเพื่อนอยู่

สมัยเรียน มีอาจารย์ที่คณะท่านหนึ่ง ท่านอายุไม่ห่างกับคนรุ่นเรามากนัก แต่ก็เกินสิบปี
อาจารย์ท่านนี้ เป็นผู้ชาย หน้าตาธรรมดา พูดไม่เพราะ ไม่ใช่เหมือนในการ์ตูนที่นักศึกษา กรี๊ดอาจารย์แน่ๆ
อาจารย์คนนี้ชอบแกล้งนักศึกษา พูดจาไม่เรียบร้อยเหมือนท่านอื่นๆ ขอโทษ บางทีเข้าขั้นหยาบคาย แต่พวกเราชอบพูดคุยกับอาจารย์
บนโต๊ะอาหาร เราคุยกันเรื่องชีวิตนักเรียนม.ปลายสุดแสบ ซ่าส์ของอาจารย์
ในห้องเรียน เรานึกถึงมุกอาจารย์ ที่ยิง ปล่อยมามากกว่าบทเรียน
ในหนังสือเรียน parasite เรานึกถึงรูปวาดอุบาทว์ของเรามากกว่าชนิดของพยาธิและแมลงสาบ
ระหว่างทางเดิน เราเห็นท่าคนเดินเร็วๆ ลมหน้า หน้ายิ้มๆ ของอาจารย์ชัดกว่าท่ายืนสอนใน ห้องเรียน
นักศึกษาหลังห้องไม่ค่อยสนใจเรียน เคยฝันว่า....
อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย อยากดูแลนักศึกษา ดูแลทั้งความคิด ความฝัน ความจริง ช่วงวัยนี้แหละที่เราค่อยลอกคราบ ความเป็นเด็กทิ้ง เตรียมสวมชุดผู้ใหญ่ มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งชีวิต การงานและครอบครัว

เรารู้ว่า การเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยยาก ลำบาก ลำบากเรื่องงานสอน งานวิจัย กลุ่มเพื่อนร่วมงาน กลุ่มนักศึกษา ...หลังจากนั้น เราบอกตัวเองว่า เราคงเป็นไม่ได้หรอก ไม่มีเวลาส่วนตัว เที่ยว อ่านหนังสือนอกเวลา หรือทำในสิ่งที่ชอบ

แล้วเราก็ค้นพบว่า
เราเห็นรอยยิ้มจริงใจแบบเด็ก แววตาใสๆ
เราเห็น ภาพลูกสาวกับอาจารย์เวลาอยู่ด้วย กัน เป็นภาพที่น่ารักขนาดไหน
เราเห็นว่า บางครั้งอาจารย์ก็นั่งอยู่คนเดียว คิดอะไรเงียบๆ
เราเห็นว่า ในตู้หนังสืออาจารย์มีหนังสือเรียงอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นมีหนังสือพระไตรปิฏ กอยู่
เรารู้สึกได้ว่า คำพูดของอาจารย์อ่อนโยน เป็นห่วง ตักเตือนตรงข้ามกับภาษา
เราเรียนรู้จากอาจารย์นอกห้องเรียน
...ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
การทำงานที่ไม่ตรงกับสาขาที่จบ
ระบบการทำงานของข้าราชการ ระบบอาวุโส
ความอดทนกับสิ่งทีเ่ราไม่ชอบใจ
ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
ท่าทีในการแสดงความคิดเห็น
ยิ่งนึกภาพก็ยิ่งชัด....
ด้วยเหตุนี้ใช่ไหม เราเคารพและรักอาจารย์อย่างจริงใจ
ในตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันใน facebook
ในตอนนี้อยากเจอและพูดคุยเรื่อง ราว ชีวิตที่ผ่านมา ทางที่เราจะก้าวต่อไป

สมัยเรียน
เรารู้จักตัวเองอย่างผิวเผิน เรารู้ว่าเราชอบทำอะไร ฟังเพลงแบบไหน อ่านหนังสือแนวไหน ทำอะไรแล้วมีความสุข เราบัญญัติวิธีการหาความสุขของเราง่ายๆ ไว้ 3 แบบ
ในอีกด้านหนึ่ง เรารู้ว่าเราไม่ชอบอะไร เรามีปัญหากับเรื่องไหนมากที่สุด เรารู้ว่าเราเกลียดคนแบบไหน ในบางทีเราก็เกลียดความอ่อนแอของตนเอง
...
เวลาผ่านไป
ฉันรู้จักตัวเองมากขึ้น
ฉันรู้จักตัวเองผ่านการทำงา
ฉันรู้จักตัวเองผ่านการอบรม
ฉันรู้จักตัวเองผ่านความสัมพันธ์
ฉันรู้จักตัวเองผ่านอุดมการณ์ ที่สร้างขึ้นและโดนทำลายล
ฉันรู้ว่าตัวเองที่ว่างเปล่า ท้อแท้ ไม่มีคุณค่าเป็นอย่างไร ฉันนี้แหล่ะที่สร้างความคิดนี้ขึ้นมาเอง

วินาทีนี้...
ฉันรักตัวเองที่เป็นแบบนี้
วินาทีต่อไป...
ฉันไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไร แต่ฉันอยากมีความรักในสิ่งที่พบ เจอเสมอ

ูู^^
tikoki

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

บันทึกสดเบื้องต้นก่อนเรื่องราวฉบับเต็ม


เดือนมีนาคมของเราเริ่มต้นด้วยการเดินทาง
เปิดเดือนใหม่ เราและพี่เจน (พี่สาวคนสนิท) จองตั๋วบินไปโฮจินมินห์กัน ๒ คน ภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ชีวิตที่นั่นจึงลำบากในช่วงต้น พอวันสุดท้ายภาษาได้ไม่ได้เราไม่รู้ รู้แต่ว่าเราสนุกจนอยากเยี่ยมลุงโฮฯ อีกครั้ง
ชีวิตราวกับฉากหลัง มีตื่นเต้น ลุ้น ซุ่มซ่าม แอบปลื้มคนต่างถิ่น โดนขโมยของ ฯลฯ เป็นสีสันการเดินทางที่เราอยากมีอยู่เสมอๆ โดยมีความตั้งใจว่า เราควรเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง จะได้รักเมืองไทยมากขึ้น
กลางเดือน ด้วยความบังเอิญทำให้เราได้ไปทริปและเจออ.ยงยุทธ์ สักที หลังจากอยากเจอมาตั้งแรมปีกว่า
การนิยาม เป็นพื้นฐานของการเข้าใจโลกใบนี้ ทำให้เราสังเกตสิ่งต่างๆ ได้ละเอียดขึ้น เพื่อนร่วมทริปบอกเล่าเรื่องราวของเธอ แล้วทำให้ฉันได้นึกถึงความหมายของการมีชีวิตในทุกๆวัน และรังสรรค์ประสบการณ์ให้เป็นสิ่งสวยงาม

เมื่อเราเดินทางไปในที่ต่างถิ่น สังคมที่เราไม่คุ้นเคย สายตาของเราได้มีโอกาสมองกว้างไปจากมุมเดิมที่เคยมอง
ดอกไม้ ต้้นหญ้า บึงบัว ผู้คน ตึกสูง ภาษา อาหารจิตใจผู้มอง สัมผัสความชุ่มชื้นในหัวใจขึ้นและอ่อนโยน ต่อโลกใบนี้ต่อไป

^^

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

มีหนังเรื่องหนึ่งถูกวางทิ้งไว้หน้าคอมเป็นเวลานาน
The education of little tree
เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กกำพร้าพ่อและแม่ ภายหลังมาอยู่กับปู่และย่า ซึ่งเป็นชาวเชโรกี เรียนรู้เรื่องราวของบรรพบุรุษ ความเชื่อ วิถีชีวิต ธรรมชาติ การประกอบอาชีพ แต่อยู่มาวันหนึ่งมีคนจากศาล พาเด็กน้อยเข้าเรียนโรงเรียนของอเมริกัน (เป็นโรงเรียนที่เด็กอินเดียนเรียนรวมกันแบบหอพัก) ดวงดาวหมาเป็นเสมือนจุดเชื่อมระหว่างบ้านที่เขาจากมา และความจริงอันโหดร้าย ทั้งยังเป็นเพื่อนที่นำพาความเป็นอิสระกลับมาอีกครั้ง
เรื่องราวมีฉากประทับใจเราหลายฉาก แต่ขอเอาตอนที่สะดุดใจเรามาแล้วกัน

ปู่ช่วยลิตเติ้ลทรี จากงูหางกระดิ่ง จึงถูกงูฉก ได้รับพิษบาดแผล ย่าจึงดูแลปู่และสนทนากับเด็กน้อยว่า

"เขาจะไม่ตายแล้วใช่มั้ยฮ่ะ หลังจากทุกอย่างที่ย่าทำไป
...
ฟังนะ
...การตายมีทุกรูปแบบลิตเติ้ล ทรี
ย่าเห็นคนที่อาณานิคมเดินไปเดินมา เหมือนกับเธอกับย่า แต่พวกเขาไม่ต่างจากคนที่ตายแล้ว
พวกเขาเต็มไปด้วยความโหดร้ายและความโลภ จิตวิญญาณในตัวพวกเขาหดลงเหลือไม่ใหญ่ไปกว่าขนาดของเมล็ดถั่ว
เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้จิตวิญญาณของเราขนาดใหญ่ขึ้นก็คือ ฝึกฝนมัน
เราต้องใช้มันเพื่อที่จะเข้าใจ เรายิ่งพยายามใช้มัน มันก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น จนมันใหญ่และมีพลังแข็งแกร่ง
เราก็จะเข้าใจทุกอย่าง จำทุกอย่างของชีวิตในอดีตได้
ย่าเชื่อว่า ปู่ใกล้จะเข้าใจอย่างนั้นแล้ว
ถึงเขาจะไม่รู้ตัวก็ตาม
แต่...
ถ้าร่างกายของเขาตาย เขาก็จะจดจำเรา
นั่นคือสิ่งที่ย่าอยากให้เธอรู้
จิตวิญญาณของเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
นั่นคือสิ่งสำคัญ
นั่นคือสิ่งสำคัญ"

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่อยเปื่อยหน้าคอม

นั่งแกล๋วอยู่หน้าอินเทอร์เนต เข้าออกเวบไซต์ facebook และอีเมล
ว่างมากเลย โดนคอมพิวเตอร์ดึงเวลาไปจากการทำกิจวัตรเดิม ไม่ได้อ่านหนังสือ ฟังเพลงมาสักพักแล้ว...

เข้าออกบล็อก งัดเรื่องเก่าๆ ที่พิมพ์ไว้มาอ่าน บางอันก็ไม่เข้าใจ


ตะกอนน้ำใส
ข้อมูลที่เข้ามาในหัวสมองเรื่อยๆ เหตุการณ์ที่เข้ามาในความรู้สึกไม่ยั้ง กับเวลาที่กระตุ้นหมุนเวียนเปลี่ยนเรื่องราวของตัวเอง
บางอย่างข้างในใจไม่เปลี่ยน
ความอึดอัดไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอๆ
บทสนทนาการพูดคุยที่ไม่มีทางจบสิ้น ในโลกธรรมดา ผู้คนที่เราไม่อาจพบเจอ
การ พูดคุยเป็นเรื่องผิวเผินมากเพียงแค่ ตอนนี้เป็นอย่างไร สบายดีไหม ทำงานที่ไหน อยู่กับใคร ประโยคสั้นๆ ไม่อาจถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้นได้ ทั้งที่อยากจะพูดใจจะขาดแต่ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่ถุูกกับบุคคล แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร (19 พ.ย. 52)

กวนน้ำในขุ่นและอยู่ในความขุ่นเคืองนั้น เมื่อน้ำสงบหารู้ไหมว่าก็ยังไม่ปัญหาที่น้ำเป็นตะกอนอยู่
ปัญหาเราไม่ต่างจากน้ำที่มีตะกอน และไม่เคยใช้ผ้าใสกรองตะกอนนั้นออก


ยังรักเหมือนเดิม
หลายเดือนมานี้ เราไม่ค่อยได้หยิบสมุดบันทึกขึ้นมาสักเท่าไร เรื่องราวผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว และไม่ทันได้ตั้งหลักรับมือกับมรสุมชีวิตลูกนี้เลย ไม่เขียน ไม่จด เพราะกลัวว่าจะไม่ดี (30 ก.ย. 52)

ความรู้สึกล้นๆ เกินๆ เป็นช่วงๆ
ในวันนี้เราได้เห็นโลกในมุมที่ต่างไปจากเดิม เราได้พบว่าหลายคนเหลือเกินที่เราล่วงเกินเขา ทำลายความหวังดีต่างๆ ที่ให้...(7 เม.ย. 52)

เขียนไม่จบ เหตุอะไรที่ทำให้หยุดนะ

^^

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ระหว่างทาง

ภาพเมืองอุทัยธานีจากบนเขา

สัปดาห์ที่ผ่านมา เราเดินทางไปอุทัยธานี จังหวัดที่เราอยากไปตั้งแต่สมัยมัธยม พี่แว่นพาไปเจอคนกลุ่มหนึ่ง มีชื่อกลุ่มว่า กลุ่มกิจกรรมธรรมชาติ (Thai nature Game) พักอยู่ในเมืองบ้านพี่โรจน์ พาๆไปเที่ยวมองแสงสีของเมืองจากทิวเขาด้านบน เดินตลาดเช้า ชมวิถีชีวิตริมน้ำสะแกกรังระหว่างที่พักที่บ้านมีโปสเตอร์หนึ่ง สะดุุดตา ข้อความสะดุุดใจมาก เขียนไว้ว่า

ภาพโปสเตอร์จากบ้านพี่โรจน์ www.thainaturegame.com

" ท่านต้องสอนให้ลูกหลานของท่านรู้ว่า แผ่นดินที่เขาเหยียบอยู่
คือเถ้าถ่านของบรรพบุรุษของเรา เพื่อเขาจะได้เคารพแผ่นดินนี้ บอกลูกหลานของท่านด้วยว่า โลกนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยชีวิต อันเป็นญาติพี่น้องของพวกเรา สั่งสอนลูกหลานของท่าน เช่นเดียวกับที่เราสอนลูกหลานของเราเสมอมาว่า โลกนี้คือแม่ของเรา ความวิบัติใดๆที่เกิดขึ้นกับโลกก็จะเกิดขึ้นกับเราด้วย หากมนุษย์ถมน้ำลายรดแผ่นดิน ก็เท่ากับมนุษย์ถ่มน้ำลายรดตนเอง เรารู้ดีว่าโลกนี้ไม่ได้เป็นของมนุษย์ แต่มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลก ทุกสิ่งทุกอย่างมีส่วนสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับสายเลือดที่ความผูกพันในครอบครัว ทุกสิ่งทุกอย่างมีส่วนผูกพันต่อกัน ความวิบัติที่เกิดขึ้นกับโลกนี้จะเกิดขึ้นกับมนุษย์เช่นกัน มนุษย์มิได้เป็นผู้สร้าง เส้นใยแห่งมวลชีวิต แต่มนุษย์เป็นเพียงเส้นใยเส้นหนึ่งเท่านั้น หากเขาทำลายสายใยเหล่านี้ เขาก็ทำลายตัวเอง "
Bonds between man and earth : สุนทรพจน์ของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงในมลรัฐ วอชิงตัน กล่าวเมื่อ ค.ศ.1854 เป็นการตอบข้อเรียกร้องจากประธานาธิบดีสหรัฐที่ได้ขอซื้อดินแดงจากเผ่าอินเดียนแดง
แปลโดย พิสิษฐ์ ณ พัทลุง

กลับมาถึงบ้านอ่านมติชนสุดสัปดาห์หน้าแรกที่เปิดเจอ คือ กวีกระวาด (วรพจน์ พันธุ์พงศ์)

ภาพที่พักป่าไผ่ ณ สถาบันปัญญาปีติ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่


แผ่นดินแม่
อิ่มข้าว เดินดูดาวหน้าบ้าน ย่ิอยอาหารตรวจทานวิธีคิด
พูด ทำ ดี ชั่ว ถูก ผิด ชีวิตทุกข์สุขกับสิ่งใด
จากคอนโดฯ มาเหยียบยืนบนพื้นดิน สูดกลิ่นดินหญ้าป่าไผ่
ปรุงกับหุงข้าวด้วยเตาไฟ สบู่ยาสระผมใช้ของทำมือ
เคยมีคู่มาอยู่แบบโดดเดี่ยว ขับเคี่ยวกับงานเขียนหนังสือ
ทีละเล็กทีละน้อยค่อยฝึกปรือ ยึดถือจดจำธรรมชาติ
ทำงานกลางวัน นอนตอนกลางคืน หกโมงตื่นพร้อมแสงตะวันสาด
เหล้ายาบาร์ผับเคยพลั้งพลาด เลิกทาสให้ใจเป็นไท-พุทธ
ปีหนึ่งกลับบ้านเดือนหนึ่ง เรียนรู้ความลึกซึ้งบรรพบุรุษ
ชำระล้างใจกายชำรุด ด้วยยุทธศาสตร์ปราชญ์ชาวบ้าน

อ่านแล้วทั้งบ้งเอิญและดีใจ นึกถึงการไปบ้านพี่โจน คอร์สจิตวิญญาณแห่งผืนดิน การติดตามค่ายของโครงการสุขแท้ฯ การไปห้วยขาแข้ง การใช้ชีวิตแบบต่างๆ ผู้คนที่พบเจอหลากหลาย รอยยิ้มน้ำใจของคนระหว่างทาง

ภาพดอกปีบหน้าห้องประชุม รร.อีมาดอีทราย อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี

เฝ้ามองให้ดอกไม้ ดอกปีบร่วงหล่น ดวงกมลว้าเหว่และใจหาย
เมื่อดอกปีบที่ร่วงหล่นแสนเดียวดาย ต้องอยู่ไกลจากกิ่งต้นแม่มัน
ขาวเขียวอยู่สลับบนพรมหญ้า ขาวเขียวประทับพร่ายอดต้องแสง
ขาวเขียวต่างส่งกลิ่นไปทั่วแดน ขาวเขียวนั่นแสดงเอกลักษณ์ตน
เปรียบกับคนต่างบ้านมาเยือนถิ่น ความอยากรู้ไหลไปสู่สิ่งใหม่
ในขณะชั่ววูบที่ออกไป ใจยังใฝ่หวนกลับคืนสู่สิ่งเดิม

ภาพดอกพุดหน้าบ้าน

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ก่อนออกจากบ้าน



เตรียมตัวเก็บกระเป๋าออกเดินทางอีกครั้ง ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่านๆ มา เป็นการเดินทางที่ไม่อยู่บ้านนานเกือบเดือนหลังจากน้องชายจากไป คำบอกกล่าวร่ำลา อาการเตี่ยกับแม่คราวนี้ เหมือนเราไปนานสักปีก็ไม่ปาน
น้ำตาคนอยู่บ้านที่คลอทักทาย ทำเอาเรารู้สึกเหมือนกัน

"น้ำตาหลั่งไหลอีกกี่สาย น้ำใสใสไหลลู่อีกกี่หน
ไคลคลอความเงียบความคำนึง ห่วงคิดถึงคนรักเจ้าจรไกล
ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น ในใจหวั่นระทึกลุ้นภาพตรงหน้า
พ่อที่รักปล่อยน้ำใสไหลจากตา ร้อนใบหน้าลูกซุกกับความนัย
ก้าวข้างหน้าใช่ไปไกลจากเล่า ความเศร้าความคำนึงคิดถึงหา
ซ่อนเก็บไว้ทุกที่ทุกเวลา เป็นพลังขับเคลื่อนสิ่งที่ทำ"
5 ต.ค. 52

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

มาลี บูล ฮัท(3)

รื้อเพลงเก่าๆ ขึ้นมาฟัง เปิดดูปก CD ทีละแผ่น
อ่ะ เพลงนี้นึกถึงช่วงชีวิตในมหิดล เพลงนี้ต้องฟังตอนฝนตก เรื่อยๆ จนมาถึงแผ่น captain loma แผ่นนี้อยากเอาไปฟังที่ทะเล มาเจอเพลง "ทะเลก็ใกล้และเธอก็เศร้า" หยุดเลย หยุดเปิดดูปกซีดีเหล่านั้นแล้วนั่งฟังอย่างตั้งใจ และเป็นอีกครั้งที่นึกถึงเธอ และมาลี บูล หากเป็นไปได้อยากที่จะไปก่อนจะปิดตัวลง ล็อกคอไป พูดคุยถามไถ่ถึงความเป็นไปของแต่ละคน บอกเล่าความเหนื่อยล้าบนความอ่อนไหวเหล่านั้น อย่างช้าๆ ไม่ให้มีสิ่งใดมารบกวนช่วงเวลาของเรา ....วนเวียนกับม่านหมอกความคิด จึงนึกได้เป็นเราเองที่อยากพูดคุยที่มีอะไรอยู่้ข้างในมากมาย ที่อยากบอกเล่าให้ฟัง เพียงแต่ว่าข้อความไม่อาจบอกเล่าได้ในวัน เวลา สถานที่ธรรมดา

ขอบคุณ
^^